เทคโนโลยีในสมัยโบราณ
มนุษย์พยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
มากกว่าที่จะค้นหาความรู้ทางวิชาการที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นอยากเข้าใจ
การดำเนินชีวิตยังคงผันผวนไปตามธรรมชาติแวดล้อมโดยมนุษย์ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขกลไกในธรรมชาติ
ดังเช่นการเพาะปลูกที่ให้ผลิตผลสูงในช่วงต้นๆ ครั้นเมื่อดินจืด ผลิตผลเลวลงมนุษย์จะเผาป่า
ย้ายไปหาที่เพราะปลูกใหม่ เฉพาะแถบริมฝั่งแม่น้ำ ที่น้ำท่วมพาโคลนมาทับถมทุกปีเท่านั้นที่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดปี
แต่การที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดนี้เอง ผนวกกับความสามารถทางสติปัญญาทำให้มนุษย์เรียนรู้ทีละเล็กละน้อย
ในอันที่จะเปลี่ยนแปลงกลไกธรรมชาติเพื่อปรับปรุงธรรมชาติแวดล้อมให้เหมาะกับการดำรงชีวิตของตน
1.1 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยเริ่มแรก
ในยุคหินใหม่เมื่อประมาณ
6,000 ปี ก่อนคริสต์ศตวรรษ มนุษย์เริ่มมีการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนใหญ่ขึ้น
มีการพัฒนาทางด้านเกษตรกรรม มีการใช้โลหะหลอม ซึ่งเรียกว่า ยุคสำริด
(Bronze Age) โดยใช้ทองแดงผสมกับดีบุกเพื่อความแข็งแรง และที่สำคัญ
คือ เริ่มมีการบันทึกเป็นภาษาเกิดขึ้นในอารยธรรมเริ่มแรก เช่น
ก. อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
(Mesopotamian Civilization)
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
เป็นอารยธรรมเก่าแก่ที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกริส (Tigris)
และแม่น้ำยูเฟรตีส (Euphrates) คำว่า "เมโสโปเตเมีย" เป็นภาษากรีก
หมายถึง ดินแดนที่อยู่ระหว่างแม่น้ำทั้งสอง ปัจจุบัน คือ ประเทศอิรัก
ณ ที่แห่งนี้มีชนชาติต่าง ๆ อพยพเข้ามาอยู่อาศัยมากมาย แต่ละชนชาติเหล่านั้นได้นำความเจริญมาสู่เมโสโปเตเมีย
เช่น ชาวสุเมเรียนได้ประดิษฐ์อักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) ซึ่งเกิดจากการใช้กระดูกมีลักษณะเป็น
รูปลิ่ม กดบนดินเหนียวในขณะอ่อนตัว เป็นรูปร่างต่าง ๆ เพื่อแสดงความหมายที่ต้องการ
นับเป็นอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ชาวสุเมเรียนยังเริ่มมีการคิดค้นปฏิทินขึ้นใช้
โดยกำหนด 1 เดือน มี 29.5 วัน 1 ปี มี 12 เดือน และถือหน่วย 60 ในการนับวินาที
และชั่วโมง
ชาวแคลเดียน (Chaldean) เป็นชนชาติหนึ่งที่เข้ามาอาศัยในเมโสโปเตเมีย
และได้ทำให้ความรู้ด้านดาราศาสตร์มีความเจริญและพัฒนามากขึ้น โดยมีความเชื่อว่าดาวเคราะห์มี
5 ดวง ประกอบด้วย ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์
เมื่อรวมกับดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ก็คือ เทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ 7 องค์
อารยธรรมเมโสโปเตเมียได้ให้ความรู้แก่มนุษย์ชาติ และได้ใช้ตราบจนทุกวันนี้คือ
1 สัปดาห์มี 7 วัน การแบ่งหน้าปัทม์นาฬิกาเป็น 12 ช่อง ๆ ละ 1 ชั่วโมง
ข. อารยธรรมอียิปต์
(Egyptian Civilization)
ชนชาติอียิปต์โบราณตั้งถิ่นฐานในดินแดนลุ่มแม่น้ำไนส์
เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน คริสต์ศักราช
อารยธรรมอียิปต์ได้ให้ความรู้แก่มนุษยชาติมากมาย
สืบเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิด
ทำให้ชาวอียิปต์คิดค้นการทำมัมมี่ศพเพื่อรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยและสร้าง
ที่บรรจุศพอย่างแข็งแรง
คือ ปิระมิด
การสร้างปิระมิดต้องใช้กำลังคนจำนวนมากและใช้หลักการด้านกลศาสตร์
คณิตศาสตร์ และสถาปัตยกรรมที่ล้ำยุค
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถให้คำตอบว่าคนสมัยโบราณสามารถทำ
ได้อย่างไร
เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์โบราณได้ประดิษฐ์อักษรฮีโรกราฟิก
(Hieroglyphic) ซึ่งเป็นอักษรภาพ ต่อมาอักษรภาพนี้ได้ดัดแปลงเป็นตัวเดโมติก
(Demotic) ซึ่งใช้ในภาษากรีกปัจจุบัน ชาวอียิปต์โบราณสามารถคำนวณพื้นที่ของสี่เหลี่ยมจตุรัส
สี่เหลี่ยมผืนผ้าและทรงกลม นอกจากนี้ชาวอียิปต์โบราณยังมีความรู้ด้านดาราศาสตร์อย่างดี
และได้กำหนดปฏิทินของตนเอง โดยกำหนด 1 ปีมี 360 วัน และต่อมากำหนด
1 ปีมี 365 วัน โดยแบ่งออกเป็น 12 เดือน ความรู้ด้านชีวภาพของชาวอียิปต์โบราณ
คือ การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกายวิภาค และสรีรวิทยาของร่างกายมนุษย์
ซึ่งนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์สาขา ต่าง ๆ โดยเฉพาะจักษุแพทย์
ทันตแพทย์ และศัลยแพทย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานให้แก่ชาวกรีกในสมัยต่อมา
ค. อารยธรรมในอเมริกากลาง
(Central American Civilization)
แหล่งอารยธรรมสำคัญในทวีปอเมริกากลางบริเวณแหลมยูกาตัน
(Yucatan) หรือบริเวณที่เป็นประเทศกัวเตมาลา ฮอนดูรัส นิการากัว คอสตาริกา
ปานามา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย ชิลี และอาร์เจนตินาในปัจจุบัน
ในสมัยโบราณบริเวณนี้มีชนเผ่าต่าง ๆ เข้าไปอยู่อาศัย ได้แก่ มายา (Mayas)
แอสแทค (Aztecs) และอินคา (Incas) ซึ่งเชื่อกันว่า ชนเผ่าแอสเทคมีความรู้ด้านดาราศาสตร์มาก
ส่วนชนเผ่าอื่น ๆ ก็มีร่องรอยของอารยธรรมที่เจริญมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสถาปัตยกรรมการก่อสร้าง
ง. อารยธรรมในเอเซีย
(Asian Civilization)
อารยธรรมโบราณที่เกิดขึ้นในทวีปเอเซียมีแหล่งสำคัญอยู่ในประเทศอินเดียและจีน
อารยธรรมในประเทศอินเดียมีความเจริญสูงสุดเมื่อ 3,000 - 2,000 ปีก่อนคริสตศักราช
สำหรับในประเทศไทยเอง มีการขุดพบสิ่งของเครื่องใช้ที่แสดงถึงอารยธรรมที่มีความเจริญอย่างมาก
และมีอายุมากกว่าที่พบในอินเดีย จีน และเมโสโปเตเมีย (สุเมธ ชุมสาย.
2529)
1.2 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยกรีก
ในอาณาบริเวณรอบทะเลเอเจียน
(Aegean Sea) มีกลุ่มชนเฮลเลียน (Hellenes) อาศัยอยู่และเรียกชื่อประเทศว่าเฮลลาส
(Hellas) แต่คนส่วนใหญ่เรียกชนกลุ่มนี้ว่า กรีก (Greeks) กลุ่มชนพวกนี้มีการปกครองเป็นแคว้นเล็ก
ๆ และมีการพัฒนาด้านปรัชญา กฎหมาย และวิทยาศาสตร์ อย่างสูงสุดซึ่งหลายสาขาวิชายังมีการใช้จนถึงปัจจุบัน
แคว้นในจักรวรรดิ์กรีกที่ได้มีการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ได้แก่
แคว้นไอโอเนีย (Ionia) เป็นสถานที่ ๆ วิทยาศาสตร์สมัยกรีกได้เริ่มเจริญ
รุ่งเรืองเป็นแห่งแรก ชาวกรีกมีอักษรฟีนิเชียน (Phaenician) ใช้เพื่อบันทึกความรู้ต่าง
ๆ ซึ่งอักษรนี้ ต่อมาได้พัฒนาเป็นอักษรละตินและอังกฤษ นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกที่สำคัญ
ได้แก่
- เทลิสแห่งไมเลตุส
(Thales of Milletus 636-546 ก่อน ค.ศ) ท่านผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกของกรีกและมนุษย์ชาติ
ซึ่งให้ความรู้ด้านดาราศาสตร์และเรขาคณิต
- เอมเพโดคลีส (Empedocles
495-430 ก่อน ค.ศ) ตั้งทฤษฎีธาตุสี่ (Theory of Four Humours) กล่าวว่า
สิ่งมีชีวิตประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
- ฮิปโปเครตีส (Hippocrates
490-377 ก่อน ค.ศ) บิดาแห่งการแพทย์ ลบล้างความเชื่อที่ว่าโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากการกระทำของสิ่งเหนือธรรมชาติ
- อริสโตเติล (Aristotle
384-322 ก่อน ค.ศ) บิดาแห่งวิชาสัตววิทยา ธรรมชาติวิทยาและศาสตร์ด้านอื่น
ๆ อีกมาก เป็นนักปราชญ์ชาวกรีกที่สำคัญ เนื่องจากคำสอนของอริสโตเติล
มีการถ่ายทอดและเชื่อเถือในชนชาติต่าง ๆ นานถึง 2,000 ปี
1.3 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยอเล็กซานเดรีย
เมื่อ 334 ปีก่อนคริสต์ศักราช
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้ายึดครองอียิปต์
เปอร์เซีย กรีก
และได้จัดตั้งชุมชนเป็นศูนย์การค้าและวิทยาการที่เมืองอเล็กซานเดรีย
ซึ่งอยู่ที่บริเวณปากแม่น้ำไนล์
ต่อมาเมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ลงราชวงศ์โทเลอมีได้ครอง
เมืองต่อมาและได้ส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศษสตร์สาขาต่าง
ๆ อย่างมาก มีการทดลองและบันทึกข้อมูลในม้วนกระดาษปาปิรัส
และรวบรวมไว้ที่หอสมุดอเล็กซานเดรีย
ซึ่งจัดเป็นแหล่งสะสมวิชาการที่ใหญ่ที่สุดในโลกของสมัยนั้น
มีม้วนปาปิรัสมากถึง
7 แสนม้วน นักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญในสมัยนี้ ได้แก่
- ยูคลิด (Euclid
330-260 ก่อน ค.ศ) บิดาแห่งเรขาคณิต
- อาร์คีมิดีสแห่งไซราคิวส์
(Archimedes of Syracuse 287 - 212 ก่อน ค.ศ)
นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของฟิสิกส์ด้านกลศาสตร์
และเป็นนักประดิษฐ์ที่ฉลาดล้ำยุคเป็นผู้ค้นพบ
กฏของคานดีดคานงัด
ค้นพบว่าน้ำหนักของวัตถุที่หายไปเมื่อชั่งในน้ำจะเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่
ถูกวัตถุนั้นแทนที่
- โทเลอมี (Claudius
Ptolemy ค.ศ. 127-170) เขียนหนังสืออัลมาเจส (Almagest) ซึ่งกล่าวว่าโลกนี้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ โคจรรอบโลก หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลต่อการศึกษาดาราศาสตร์ถึง
1,500 ปีต่อมา
- เกเลน (Galen of
Pergamum ค.ศ. 131-201) แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ศึกษา กายวิภาคและสรีระวิทยาของคน
โดยการผ่าตัดลิงและหมู จึงทำให้ข้อมูลผิดพลาด และมีอิทธิพลต่อการพัฒนาด้านการแพทย์เกือบ
1,200 ปีต่อมา
ที่มา http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/science/unit4_9.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น