วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

เทคโนโลยีในสมัยโบราณ

เทคโนโลยีในสมัยโบราณ
        มนุษย์พยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด มากกว่าที่จะค้นหาความรู้ทางวิชาการที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นอยากเข้าใจ การดำเนินชีวิตยังคงผันผวนไปตามธรรมชาติแวดล้อมโดยมนุษย์ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขกลไกในธรรมชาติ ดังเช่นการเพาะปลูกที่ให้ผลิตผลสูงในช่วงต้นๆ ครั้นเมื่อดินจืด ผลิตผลเลวลงมนุษย์จะเผาป่า ย้ายไปหาที่เพราะปลูกใหม่ เฉพาะแถบริมฝั่งแม่น้ำ ที่น้ำท่วมพาโคลนมาทับถมทุกปีเท่านั้นที่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดปี แต่การที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดนี้เอง ผนวกกับความสามารถทางสติปัญญาทำให้มนุษย์เรียนรู้ทีละเล็กละน้อย ในอันที่จะเปลี่ยนแปลงกลไกธรรมชาติเพื่อปรับปรุงธรรมชาติแวดล้อมให้เหมาะกับการดำรงชีวิตของตน

        1.1 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยเริ่มแรก
        ในยุคหินใหม่เมื่อประมาณ 6,000 ปี ก่อนคริสต์ศตวรรษ มนุษย์เริ่มมีการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนใหญ่ขึ้น มีการพัฒนาทางด้านเกษตรกรรม มีการใช้โลหะหลอม ซึ่งเรียกว่า ยุคสำริด (Bronze Age) โดยใช้ทองแดงผสมกับดีบุกเพื่อความแข็งแรง และที่สำคัญ คือ เริ่มมีการบันทึกเป็นภาษาเกิดขึ้นในอารยธรรมเริ่มแรก เช่น
        ก. อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamian Civilization)
        อารยธรรมเมโสโปเตเมีย เป็นอารยธรรมเก่าแก่ที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกริส (Tigris) และแม่น้ำยูเฟรตีส (Euphrates) คำว่า "เมโสโปเตเมีย" เป็นภาษากรีก หมายถึง ดินแดนที่อยู่ระหว่างแม่น้ำทั้งสอง ปัจจุบัน คือ ประเทศอิรัก ณ ที่แห่งนี้มีชนชาติต่าง ๆ อพยพเข้ามาอยู่อาศัยมากมาย แต่ละชนชาติเหล่านั้นได้นำความเจริญมาสู่เมโสโปเตเมีย เช่น ชาวสุเมเรียนได้ประดิษฐ์อักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) ซึ่งเกิดจากการใช้กระดูกมีลักษณะเป็น รูปลิ่ม กดบนดินเหนียวในขณะอ่อนตัว เป็นรูปร่างต่าง ๆ เพื่อแสดงความหมายที่ต้องการ นับเป็นอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ชาวสุเมเรียนยังเริ่มมีการคิดค้นปฏิทินขึ้นใช้ โดยกำหนด 1 เดือน มี 29.5 วัน 1 ปี มี 12 เดือน และถือหน่วย 60 ในการนับวินาที และชั่วโมง
ชาวแคลเดียน (Chaldean) เป็นชนชาติหนึ่งที่เข้ามาอาศัยในเมโสโปเตเมีย และได้ทำให้ความรู้ด้านดาราศาสตร์มีความเจริญและพัฒนามากขึ้น โดยมีความเชื่อว่าดาวเคราะห์มี 5 ดวง ประกอบด้วย ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ เมื่อรวมกับดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ก็คือ เทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ 7 องค์ อารยธรรมเมโสโปเตเมียได้ให้ความรู้แก่มนุษย์ชาติ และได้ใช้ตราบจนทุกวันนี้คือ 1 สัปดาห์มี 7 วัน การแบ่งหน้าปัทม์นาฬิกาเป็น 12 ช่อง ๆ ละ 1 ชั่วโมง
        ข. อารยธรรมอียิปต์ (Egyptian Civilization)
        ชนชาติอียิปต์โบราณตั้งถิ่นฐานในดินแดนลุ่มแม่น้ำไนส์ เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน คริสต์ศักราช อารยธรรมอียิปต์ได้ให้ความรู้แก่มนุษยชาติมากมาย สืบเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิด ทำให้ชาวอียิปต์คิดค้นการทำมัมมี่ศพเพื่อรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยและสร้าง ที่บรรจุศพอย่างแข็งแรง คือ ปิระมิด การสร้างปิระมิดต้องใช้กำลังคนจำนวนมากและใช้หลักการด้านกลศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสถาปัตยกรรมที่ล้ำยุค ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถให้คำตอบว่าคนสมัยโบราณสามารถทำ ได้อย่างไร
เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์โบราณได้ประดิษฐ์อักษรฮีโรกราฟิก (Hieroglyphic) ซึ่งเป็นอักษรภาพ ต่อมาอักษรภาพนี้ได้ดัดแปลงเป็นตัวเดโมติก (Demotic) ซึ่งใช้ในภาษากรีกปัจจุบัน ชาวอียิปต์โบราณสามารถคำนวณพื้นที่ของสี่เหลี่ยมจตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้าและทรงกลม นอกจากนี้ชาวอียิปต์โบราณยังมีความรู้ด้านดาราศาสตร์อย่างดี และได้กำหนดปฏิทินของตนเอง โดยกำหนด 1 ปีมี 360 วัน และต่อมากำหนด 1 ปีมี 365 วัน โดยแบ่งออกเป็น 12 เดือน ความรู้ด้านชีวภาพของชาวอียิปต์โบราณ คือ การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกายวิภาค และสรีรวิทยาของร่างกายมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์สาขา ต่าง ๆ โดยเฉพาะจักษุแพทย์ ทันตแพทย์ และศัลยแพทย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานให้แก่ชาวกรีกในสมัยต่อมา
        ค. อารยธรรมในอเมริกากลาง (Central American Civilization)
        แหล่งอารยธรรมสำคัญในทวีปอเมริกากลางบริเวณแหลมยูกาตัน (Yucatan) หรือบริเวณที่เป็นประเทศกัวเตมาลา ฮอนดูรัส นิการากัว คอสตาริกา ปานามา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย ชิลี และอาร์เจนตินาในปัจจุบัน ในสมัยโบราณบริเวณนี้มีชนเผ่าต่าง ๆ เข้าไปอยู่อาศัย ได้แก่ มายา (Mayas) แอสแทค (Aztecs) และอินคา (Incas) ซึ่งเชื่อกันว่า ชนเผ่าแอสเทคมีความรู้ด้านดาราศาสตร์มาก ส่วนชนเผ่าอื่น ๆ ก็มีร่องรอยของอารยธรรมที่เจริญมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสถาปัตยกรรมการก่อสร้าง
        ง. อารยธรรมในเอเซีย (Asian Civilization)
        อารยธรรมโบราณที่เกิดขึ้นในทวีปเอเซียมีแหล่งสำคัญอยู่ในประเทศอินเดียและจีน อารยธรรมในประเทศอินเดียมีความเจริญสูงสุดเมื่อ 3,000 - 2,000 ปีก่อนคริสตศักราช สำหรับในประเทศไทยเอง มีการขุดพบสิ่งของเครื่องใช้ที่แสดงถึงอารยธรรมที่มีความเจริญอย่างมาก และมีอายุมากกว่าที่พบในอินเดีย จีน และเมโสโปเตเมีย (สุเมธ ชุมสาย. 2529)
        1.2 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยกรีก
        ในอาณาบริเวณรอบทะเลเอเจียน (Aegean Sea) มีกลุ่มชนเฮลเลียน (Hellenes) อาศัยอยู่และเรียกชื่อประเทศว่าเฮลลาส (Hellas) แต่คนส่วนใหญ่เรียกชนกลุ่มนี้ว่า กรีก (Greeks) กลุ่มชนพวกนี้มีการปกครองเป็นแคว้นเล็ก ๆ และมีการพัฒนาด้านปรัชญา กฎหมาย และวิทยาศาสตร์ อย่างสูงสุดซึ่งหลายสาขาวิชายังมีการใช้จนถึงปัจจุบัน แคว้นในจักรวรรดิ์กรีกที่ได้มีการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ได้แก่
แคว้นไอโอเนีย (Ionia) เป็นสถานที่ ๆ วิทยาศาสตร์สมัยกรีกได้เริ่มเจริญ รุ่งเรืองเป็นแห่งแรก ชาวกรีกมีอักษรฟีนิเชียน (Phaenician) ใช้เพื่อบันทึกความรู้ต่าง ๆ ซึ่งอักษรนี้ ต่อมาได้พัฒนาเป็นอักษรละตินและอังกฤษ นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกที่สำคัญ ได้แก่
        - เทลิสแห่งไมเลตุส (Thales of Milletus 636-546 ก่อน ค.ศ) ท่านผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกของกรีกและมนุษย์ชาติ ซึ่งให้ความรู้ด้านดาราศาสตร์และเรขาคณิต
        - เอมเพโดคลีส (Empedocles 495-430 ก่อน ค.ศ) ตั้งทฤษฎีธาตุสี่ (Theory of Four Humours) กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
        - ฮิปโปเครตีส (Hippocrates 490-377 ก่อน ค.ศ) บิดาแห่งการแพทย์ ลบล้างความเชื่อที่ว่าโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากการกระทำของสิ่งเหนือธรรมชาติ
        - อริสโตเติล (Aristotle 384-322 ก่อน ค.ศ) บิดาแห่งวิชาสัตววิทยา ธรรมชาติวิทยาและศาสตร์ด้านอื่น ๆ อีกมาก เป็นนักปราชญ์ชาวกรีกที่สำคัญ เนื่องจากคำสอนของอริสโตเติล มีการถ่ายทอดและเชื่อเถือในชนชาติต่าง ๆ นานถึง 2,000 ปี
        1.3 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยอเล็กซานเดรีย
เมื่อ 334 ปีก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้ายึดครองอียิปต์ เปอร์เซีย กรีก และได้จัดตั้งชุมชนเป็นศูนย์การค้าและวิทยาการที่เมืองอเล็กซานเดรีย ซึ่งอยู่ที่บริเวณปากแม่น้ำไนล์ ต่อมาเมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ลงราชวงศ์โทเลอมีได้ครอง เมืองต่อมาและได้ส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศษสตร์สาขาต่าง ๆ อย่างมาก มีการทดลองและบันทึกข้อมูลในม้วนกระดาษปาปิรัส และรวบรวมไว้ที่หอสมุดอเล็กซานเดรีย ซึ่งจัดเป็นแหล่งสะสมวิชาการที่ใหญ่ที่สุดในโลกของสมัยนั้น มีม้วนปาปิรัสมากถึง 7 แสนม้วน นักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญในสมัยนี้ ได้แก่
        - ยูคลิด (Euclid 330-260 ก่อน ค.ศ) บิดาแห่งเรขาคณิต
        - อาร์คีมิดีสแห่งไซราคิวส์ (Archimedes of Syracuse 287 - 212 ก่อน ค.ศ) นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของฟิสิกส์ด้านกลศาสตร์ และเป็นนักประดิษฐ์ที่ฉลาดล้ำยุคเป็นผู้ค้นพบ กฏของคานดีดคานงัด ค้นพบว่าน้ำหนักของวัตถุที่หายไปเมื่อชั่งในน้ำจะเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่ ถูกวัตถุนั้นแทนที่
        - โทเลอมี (Claudius Ptolemy ค.ศ. 127-170) เขียนหนังสืออัลมาเจส (Almagest) ซึ่งกล่าวว่าโลกนี้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ โคจรรอบโลก หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลต่อการศึกษาดาราศาสตร์ถึง 1,500 ปีต่อมา
        - เกเลน (Galen of Pergamum ค.ศ. 131-201) แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ศึกษา กายวิภาคและสรีระวิทยาของคน โดยการผ่าตัดลิงและหมู จึงทำให้ข้อมูลผิดพลาด และมีอิทธิพลต่อการพัฒนาด้านการแพทย์เกือบ 1,200 ปีต่อมา
ที่มา  http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/science/unit4_9.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น